บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง

บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
          ในการจัดทำโครงงานเรื่องการศึกษาอัตราส่วนของสบู่มะขามผู้จัดทำโครงงานได้ศึกษาเอกสารและเว็บไซต์ต่างๆที่เกี่ยงข้องดังนี้
1.       ข้อมูลของมะขาม

2.       ข้อมูลเกี่ยวกับการทำสบู่
       มะขาม

ชื่อสามัญ         : Tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  :Tamarindus indica Linn.
วงศ์               : CAESALPINIACEAE
ชื่ออื่น ๆ          : ส่ามอเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน), มะขาม, มะขามไทย (ภาคกลาง), ตะลูบ(นครศรีธรรมราช), อำเปียล (สุรินทร์), มะขามกะดาน, มะขามขี้แมว
มะขาม เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามากไม่มีหนาม เปลือกต้นขรุขระและหนาสีน้ำตาลอ่อน ใบเป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ประกอบ ด้วยใบย่อย10–15 คู่แต่ละใบย่อยมีขนาดเล็กกว้าง2–5 มม. ยาว 1–2 ซม. ออกรวมกันเป็นช่อยาว 2–16 ซม. ดอก ออกตามปลายกิ่ง ดอกมีขนาดเล็กกลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดง/ม่วงแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาลเนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และ/หรือหวาน ซึ่งฝักหนึ่งๆ จะมี/หุ้มเมล็ด 3–12 เมล็ด เมล็ดแก่จะแบนเป็นมันและมีสีน้ำตาล
ลักษณะทั่วไป
ต้น :     เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาตรงส่วนยอดของต้น และแข็งแรงมาก ลำต้นมีความสูงประมาณ 60 ฟุต เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อน และแตกสะเก็ดเป็นร่องเล็กๆ
ใบ :     เป็นไม้ใบรวม จะออกใบเป็นคู่ๆ เรียงกันตามก้านใบ ก้านหนึ่งมีใบอยู่ประมาณ 10-18 คู่ ลักษณะของใบย่อย เป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน มีสีเขียวแก่
ดอก :   ดอกออกเป็นช่อเล็กๆ อยู่ตามบริเวณปลายกิ่ง ช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 10-15 ดอก ดอกจะเล็กมีกลีบเป็นสีเหลือง และมีจุดประสีแดงอยู่ตรงกลางดอก ดอกจะออกในช่วงฤดูฝน ดอกมีรสเปรี้ยว
ผล :     เมื่อดอกร่วงแล้วก็จะติดผล ซึ่งผลนี้จะมีอยู่ 2 ชนิดคือชนิดฝักกลมเล็กยาว ซึ่งเรียกว่ามะขามขี้แมวและอีกชนิดหนึ่งฝักใหญ่แบน และโค้ง มีรสเปรี้ยว เรียกว่ามะขามกะดานเปลือกนอกเปราะเป็นสีเทาอมน้ำตาล ข้างในผลมีเนื้อเยื่อแรกๆ เป็นสีเหลืองอ่อน และจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่จัดซึ่งจะหุ้มเมล็ดอยู่ ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปค่อนข้างกลม ผิวเปลือกเกลี้ยง เป็นสีดำ หรือสีน้ำตาลเข้ม
การขยายพันธุ์
เป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดด เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ มีการขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง
ส่วนที่ใช้
เนื้อไม้ ใบแก่ ใบอ่อนและดอก เนื้อในผล เมล็ดแก่
สรรพคุณ
เนื้อไม้ ใช้ทำเป็นเขียง ที่มีคุณภาพดีมาก เพราะเป็นไม้ทีเหนียวทนใบแก่ มีรสเปรี้ยวฝาด ใช้นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอ แก้โรคบิดขับเสมหะในลำไส้ หรือนำมาต้มผสมกับหัวหอมโกรกศีรษะเด็กในเวลาเช้ามืด แก้หวัด และคัดจมูกได้ หรือใช้น้ำที่ต้มให้สตรีหลังคลอดอาบและใช้อบไอน้ำได้เป็นต้น ใบอ่อนและดอก ใช้รับประทานเป็นอาหารได้ เนื้อในผล (มะขามเปียก) ใช้ผลแก่ประมาณ 10-20 ฝักนำมาจิ้มเกลือกิน แล้วดื่มน้ำตามลงไป หรืออาจใช้ทำเป็นน้ำมะขามคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย แก้ไอขับเสมหะ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ลดการกระหายน้ำ หรือใช้เนื้อมะขามผสมกับข่า และเกลือพอประมาณรับประทานเป็นยาขับเลือดขับลม แก้สันนิบาตหน้าเพลิง หรืออาจใช้ผสมกับปูนแดง แล้วนำมาพอกหรือทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนหรือฝี เมล็ดแก่ นำมาคั่วให้เกรียมแล้วกระเทาะเปลือกออกใช้ประมาณ 20-30 เม็ด นำมาแช่น้ำเกลือจนอ่อนใช้กินเป็นยาถ่ายพยาธิิไส้เดือนในท้องเด็กได้ หรือใช้เปลือกนอกที่กระเทาะออก ซึ่งจะมีรสฝาดใช้กินเป็นยาแก้ท้องร่วง และแก้อาเจียนได้ดี
อื่นๆ
เมล็ดมะขาม ใช้เพาะอย่างถั่วงอกใช้นำมาทำเป็นแกงส้มกิน เป็นอาหารได้และในประเทศอินเดียนิยมใช้เมล็ดในนำมาป่นให้ละเอียดแล้วต้มกับผ้าเพื่อให้ผ้าแข็ง เหมือนกับลงแป้ง
คุณค่าทางโภชนาการ
ยอดอ่อนและฝักอ่อนมีวิตามิน เอ มาก มะขามเปียกรสเปรี้ยว ทำให้ชุ่มคอ ลดความร้อนของร่างกายได้ดี เนื้อในฝักมะขามที่แก่จัดเรียกว่า "มะขามเปียก" ประกอบด้วยกรดอินทรีย์หลายตัว เช่น กรดทาร์ททาร์ริค กรดซิตริค เป็นต้น ทำให้ออกฤทธิ์ระบายและลดความร้อนของร่างกายลงได้ แพทย์ไทยเชื่อว่า รสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ด้วย
ส่วนที่นำมาใช้
- ฝักอ่อน ฝักแก่ ดอก
- เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก)
- เปลือก (สด - แห้ง)
- ใบอ่อน - แก่
สารทีมีคุณประโยชน์
- ยอดอ่อนของมะขาม มีวิตามินเอและวิตามินซีสูง และยังมี
- โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมันกากใบ
- แคลเซียม และฟอสฟอรัส
- มะขามเปียกมีสารกรดอินทรีย์ เช่น กรดซกรด กรดทาทาริค กรดมาลิค
- มีสารพวกกัม (gum) และเพคติน (pectin)
วิธีทำยานวดผม
1.       นำมะขามเปียกมาจำนวนหนึ่ง (มากน้อยตามความต้องการ)
2.       ผสมกับน้ำสะอาด หรือจะเป็นน้ำอุ่นก็ได้ ้
3.       ใช้มือคั้นเนื้อมะขามเพื่อให้ละลายออกผสมกับน้ำ
4.       น้ำที่ได้จะออกลักษณะเป็นเมือก (อย่าให้เหลวมาก)
5.       นำน้ำยานั้นมานวดให้ทั่วศีรษะ (นวดหลังจากสระผมแล้ว)
6.       ใช้ผ้าโพกหรือถุงพลาสติกคลุม ทิ้งไว้ 15-30 นาทีผลที่ได้รับคือ

- ช่วยฆ่าเหา ฆ่าเชื้อรา รักษารากผม
- ที่สำคัญในบางท่าน ที่ต้องการจะเปลี่ยนสีผมให้เป็นไปตามธรรมชาติ คุณจะได้สีผมที่ออกไปเป็นสีเม็ดมะขาม และสีโค้ก
วิธีทำน้ำยาอาบน้ำ
1.       นำใบมะขามมาจำนวนหนึ่ง (ยอด - อ่อนหรือแก่ก็ได้ แล้วแต่จะต้องการ)
2.       นำน้ำสะอาดใส่ในภาชนะ ปี๊บ หม้อ ฯลฯ
3.       นำขึ้นตั้งไฟ
4.       พอน้ำเริ่มเดือด ให้ใส่ใบมะขามที่เตรียมไว้ลงไป แล้วปิดฝา
5.       เคี่ยวอยู่ประมาณ 30 นาที จากที่เดือดอยู่แล้ว
6.       จากนั้นลงจากเตา ปล่อยไว้ให้เย็น หรือจะใช้ผสมกับน้ำเย็น
7.       อาบน้ำยาดังกล่าว
8.       อาบอยู่ 2-3 ครั้งก็จะเห็นผล
ผลที่ได้รับคือ
- ช่วยให้ผดผื่นคันที่เป็นตามร่างกายหายไป
- ช่วยให้ผิวพรรณดี
- รักษาเชื้อราบนผิวหนังได้ ้
(ภาคอีสานมักจะใช้อาบให้กับแม่ลูกอ่อน หรือคนที่เป็นตุ่มคัน และเป็นกลากเกลื้อน)
สรรพคุณทางยา
- เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- แก้ท้องผูก แก้ท้องเดิน
- ถ่ายพยาธิลำไส้ (ใช้เนื้อในจากเมล็ด)
- แก้ไอขับเสมหะ
- น้ำมะขามลดอุณหภูมิในร่างกายและแก้ไข้ได้
สบู่
         สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับไขมันจากพืชหรือสัตว์ ปัจจุบัน สบู่มีการใช้ส่วนผสมชนิดต่างๆเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ให้มีลักษณะพิเศษ ตรงตามความต้องการใช้งานที่หลากหลายขึ้นสบู่จากคำข้างต้น หมายถึง ผลิตภัณฑ์ของสบู่ที่ทำให้เป็นก้อนหรือเป็นของเหลว
 สบู่ เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ได้จากปฏิกิริยาของด่างกับไขมันจากพืชหรือสัตว์ ปัจจุบัน สบู่มีการใช้ส่วนผสมชนิดต่างๆเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่ให้มีลักษณะพิเศษ ตรงตามความต้องการใช้งานที่หลากหลายขึ้นสบู่จากคำข้างต้น หมายถึง ผลิตภัณฑ์ของสบู่ที่ทำให้เป็นก้อนหรือเป็นของเหลว พร้อมด้วยส่วนผสมต่างๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเหมาะสำหรับการใช้ทำความสะอาด ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์สบู่ที่เราใช้กันในทุกวันนี้ ส่วน สบู่ (soap)” อีกคำที่พบในสมการเคมีจะหมายถึง สารตั้งต้นสำหรับการผลิตสบู่ นั่นก็คือ เกล็ดสบู่ (soap) ที่ได้จากปฏิกิริยาระหว่างด่างเข้มข้นกับไขมันพืชหรือสัตว์ ร่วมด้วยกับกลีเซอรีน (Glycerine)/กลีเซอรอล (Glycerol) ซึ่งสารทั้งสองเป็นสารตั้งต้นในการทำสบู่เหมือนกัน แต่จะให้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเรียกว่า เกล็ดสบู่ไขมันพืช/ไขมันสัตว์ + โซเดียมไฮดรอกไซด์/โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ = เกล็ดสบู่ (soap) + กลีเซอรอล/กลีเซอรีน+ แอลกอฮอล์ + น้ำ
คือ เป็นสิ่งที่ใช้ในการทำความสะอาดร่างกาย เช่น การอาบน้ำ การล้างมือ สบู่จะช่วยละลายไขมัน ทำให้การชำระล้างสะอาดมากขึ้น
          สบู่ (soap) คือสารเคมีที่เกิดจากการทำปฏิกิริยากันระหว่างโซเดียมไฮดรอกไซด์ด่าง,โซดาไฟ, NaOH และน้ำมันที่มาจากสัตว์หรือพืชมีส่วนผสมระหว่างกรด(ไขมัน)กับเบส(ด่าง) ในอัตราส่วนที่ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อผิว คือมีค่า pH อยู่ระหว่าง 8-10 ใช้ชำระล้างร่างกายควบคู่กับการอาบน้ำ ทำมาจากไขมันสัตว์ผสมกับน้ำหอม โซดาไฟ และวัตถุดิบอื่นๆ
สบู่ก้อน คือส่วนผสมระหว่างกรด(ไขมัน)กับเบส(ด่าง) ในอัตราส่วนที่ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อผิว คือมีค่า pH อยู่ระหว่าง 8-10 (ในเอกสารจดแจ้งของ อย. ให้ผู้ผลิตสบู่ก้อนระบุว่ามีค่า ph ไม่เกิน 11) กรดหรือกรดไขมัน เช่นน้ำมันพืช ไขมันสัตว์ เบส เช่นโซดาไฟ โดยทั่วไปอัตราส่วนผสมที่เหมาะสมคือเมื่อผสมกันแล้วควรจะเหลือกรดไขมันอยู่ประมาณ 5% หากไม่มีเครื่องมือในการวัดค่า pH ให้เก็บสบู่เอาไว้อย่างน้อย 15-30 วันเพื่อให้ค่า pH ลดลง อยู่ในอัตราที่เหมาะสม
กลีเซอรีน


         





กลีเซอรีน เป็นของเหลวที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีความหนืด และมีรสหวาน โดยปกติมาจากน้ำมันของพืช ซึ่งโดยทั่วไปคือ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม กลีเซอรีนสามารถละลายได้ดีในแอลกอฮอล์และน้ำ แต่ไม่ละลายในไขมัน เนื่องจากกลีเซอรีนมีคุณสมบัติทางเคมีที่หลากหลายจึงสามารถนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารเคมีอื่นๆได้
ด้วยคุณสมบัติที่สามารถละลายในแอลกอฮอล์และน้ำได้นี่เอง จึงนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางซึ่งกลีเซอรีนบริสุทธิ์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น ใช้เป็นส่วนผสมหรือเป็นตัวช่วยในกระบวนการผลิตเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำและสุขอนามัยส่วนบุคคล อาหาร ยาสีฟัน ยาสระผมและนิยมใช้มาในอุตสาหกรรมสบู่เพราะกลีเซอรีนเป็นส่วนช่วยหล่อลื่นเหมือนมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพื่อปกป้องผิวไม่ให้แห้งและดูดซับความชื้นเมื่อสัมผัสกับอากาศซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าผิวมีความชุ่มชื้น อ่อนโยนต่อผิว ขจัดความสกปรกที่ฝังแน่น ไม่ทำให้อุดตันรูขุมขน รวมทั้งปลอดภัยต่อผิวหนัง
การที่กลีเซอรีนเป็นสารที่ไม่มีพิษในทุกๆรูปแบบของการประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะใช้เป็นสารตั้งต้นหรือสารเติมแต่ง ทำให้กลีเซอรีนเป็นสารเคมีที่ได้รับความสนใจและนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ด้วยการทำยาเหน็บทวาร ใช้เป็นยาระบาย และยังสามารถใช้เป็นยาเฉพาะที่สำหรับปัญหาทางผิวหนังหลายชนิด รวมถึง โรงผิวหนัง ผื่น แผลไฟลวก แผลกดทับ และบาดแผลจากของมีคม กลีเซอรีนถูกใช้เพื่อรักษาโรคเหงือกได้ด้วย เนื่องจากกลีเซอรีนสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องได้
กลีเซอรีน (glycerine) อาจจะเรียกได้หลายชื่อ เช่น glycerol, glycerin, หรือ 1,2,3-propanetriol สามารถเขียนสูตรโมเลกุลทางเคมีได้เป็น CH 2 OHCHOHCH 2 OH เป็นสารไม่มีกลิ่น(odorless) ไม่มีสี(colorless) รสหวาน(sweet-tasting) เหมือนน้ำเชื่อม(syrupy liquid) . กลีเซอรีน (glycerine) เป็น trihydric alcohol . หลอมเหลวที่ 17.8 องศาเซลเซียสเดือดและสลายตัว( Boil & decomposition) ที่ 290?C, ละลายในน้ำและ เอทานอล ดูดกลืนน้ำจากอากาศ จึงนำไปทำเป็น moistener ในเครื่องสำอาง กลีเซอรีน จะอยู่ในรูปแบบของ (glycerides) ในไขและน้ำมันพืชและน้ำมันสัตว์
กลีเซอรีน สามารถสังเคราะห์ได้จาก Propylene และจากการหมักน้ำตาลด้วยsodium bisulfite และยีสต์(yeast) และมีการผลิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากกระบวนการผลิตไบโอดีเซล
กลีเซอรีน ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางเป็น สารละลาย(solvent) สารเพิ่มความหวาน(sweetener) เครื่องสำอาง(cosmetics and personal care products) สบู่เหลว(liquid soaps) ลูกอม(candy) สุรา(liqueurs) หมึก(inks) และสารหล่อลื่น(lubricants) เพื่อให้ยืดหยุ่น(pliable) สารป้องกันการแข็งตัว (antifreeze mixtures) เป็นส่วนผสมอาหาร(Food and beverage ingredients ) อาหารสัตว์(Animal feed ) สารปฏิชีวนะ(Antibiotics) ยา (Pharmaceuticals) สารให้ความชุ่มชื้น(moisturizers) น้ำมันไฮดรอลิกส์(Hydraulic fluids) และสารตั้งต้นทางปีโตรเคมีต่างๆ(Polyether polyols, propylene glycol, epichlorohydrin และอื่นๆ)
·       กลีเซอรีนบริสุทธิ์ 99.87%  ผลิตจากปาล์ม  เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร และ เครื่องสำอาง
·       กลีเซอรีน บริสุทธ์ 99.5%  ผลิตจากน้ำมันระหุ่ง
·       กลีเซอรีนของบริสุทธิ์ 99.5% TOL 
ประโยชน์ของกลีเซอรีน
1)      ทำสบู่ใช้เอง
สบู่ทำเองเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมและทำง่ายมาก เพียงมีกลีเซอรีนและเตาไมโครเวฟ ก็ลงมือได้เลย ตัดกลีเซอรีนที่ส่วนใหญ่ จะมาขายเป็นท่อนๆ ให้เป็นลูกเต๋าขนาด 2 นิ้ว หย่อนกลีเซอรีนหลายๆก้อนใส่ภาชนะแก้ว เอาเข้าเตาไมโครเวฟไฟปานกลาง เอาออกมาดูทุกๆ 30 วินาที จนกว่าจะละลายใช้ได้ ถึงตรงนี้ให้เติมสีหรือกลิ่นที่คุณชอบ จากนั้นรินกลีเซอรีนเหลวลงในพิมพ์สบู่หรือพิมพ์ขนม ถ้าไม่มีใช้ถ้วยพลาสติกโพลีสไตริน เทลงไปซัก 3 ใน 4 นิ้วจากก้นถ้วย ทิ้งให้แข็งตัวราวครึ่งชั่วโมง
2)      ขจัดคราบกาแฟค้างเก่า
เสื้อตัวสวยกลับจากงานเลี้ยงน้ำชา-กาแฟด้วยคราบกาแฟที่เปื้อนใส่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าเห็นแต่แรกซับด้วยน้ำทันทียังพอทำเนา แต่คราบเก่าซักยากยิ่ง ลองซับด้วยน้ำเย็นดูก่อนแล้วให้ถูให้ทั่วด้วยกลีเซอรีน ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จากนั้นจึงซักตามปกติ
3)      นำไปใช้ผลิตไนโตรกลีเซอรีนและขนม
และยังนำไปใช้ถนอมผักและผลไม้รวมทั้งแช่ตัวอย่างทดลองในห้องแล็ปมองหาส่วนผสมที่เป็นกลีเซอรีนได้จากบรรดาโลชั่นที่วางจำหน่ายตามชั้นในร้านขายยาหรือร้านงานฝีมือที่ขายผลิตภัณฑ์จากสบู่
4)      ทำความสะอาดช่องแช่แข็ง
คราบอาหารหมดโอกาสติดแน่นอยู่ในช่องแช่แข็งถ้ามีกลีเซอรีนโดยขจัดคราบอาหารแล้วใช้เศษผ้าแตะกลีเซอรีนซึ่งเป็นตัวทำละลายตามธรรมชาติเช็ดบริเวณคราบติดแน่นให้สะอาดเท่านี้เราก็ได้ช่องแช่แข็งใหม่สะอาดเอี่ยม
5)      สบู่เหลวขวดใหม่
เศษสบู่ที่เหลือจะเอาไปทำอะไรดีหนอ ผสมกลีเซอรีนลงไป แล้วบี้สบู่ให้เข้ากันในน้ำอุ่น เทส่วนผสมใส่ขวดปั๊มเท่านี้คุณก็มีสบู่เหลวราคาประหยัดเอาไว้ใช้

ความสำคัญของสบู่

คือ ของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ทุกวันเราอาบน้ำต้องใช้สบู่เพื่อการขจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย ซึ่งคนส่วนมากมักจะเลือกสบู่ที่สามารถทำความสะอาดได้ดีมากๆ จนไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับผิวในภายหลัง ปัจจุบันสบู่มีมากมายหลายชนิดให้เราเลือกใช้ ตามความเหมาะสมและความชอบของแต่ละบุคคล แต่เรารู้จักสบู่เหล่านั้นดีเพียงไร และจะมีสักกี่คนที่ใส่ใจในรายละเอียดว่าสบู่แต่ละก้อนมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง สบู่ที่ดีจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อผิว ซึ่งนอกจากจะทำให้สบู่ที่ได้ทำความสะอาดผิวได้ดีแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวได้อีกด้วย ทั้งนี้ สบู่เป็นสิ่งที่เราต้องใช้เป็นประจำทุกวัน หากเราคัดสรรสบู่ที่ดีมีคุณภาพ จะทำให้เรามีสุขภาพผิวของที่ดีอยู่คู่กับเราไปตลอดนานเท่านาน
สบู่ธรรมชาติและสบู่เคมี
สบู่ธรรมชาติ จะผลิตโดยใช้ไขมันจากพืชหรือสัตว์ผสมกับด่างหรือ NaOH จะได้สบู่ธรรมชาติถือว่าเป็นสบู่ที่ดีเนื่องจากค่าความเป็นค่าpH (Power of hydrogen)คือค่าที่อยู่ในระดับเดียวกับร่างกายของเราและเป็นสภาวะที่ดีที่สุด นั่นคือมีค่าเป็นกลางใกล้เคียงกับผิวพรรณของเรามากที่สุด ทำให้ไม่ค่อยมีความระคายเคืองต่อผิว ส่วนสบู่เคมี ได้ถูกพัฒนาขึ้น อันเนื่องมาจากการผลิตสบู่แบบดั้งเดิม มีต้นทุนสูง ใช้เวลานานในการผลิต และ ผลิตได้ครั้งละจำกัด จึงทำให้มีผู้ติดค้นสบู่อีกสูตรหนึ่งขึ้นมาคือสบู่เคมี ซึ่งผลิตโดยใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติในการชะล้าง มาอัดเป็นก้อนและผสมกลิ่นน้ำหอม และเติมสี และจัดจำหน่ายทั่วไป มีการเติมมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อทดแทนกลีเซอรีน ที่เคยได้ในการผลิตแบบดั้งเดิม สบู่ประเภทนี้ให้การชะล้างที่ดีมากๆ และมีกลิ่นสีน่าใช้ เพราะแต่งเติมเข้าไปด้วยกรรมวิธีใหม่ๆ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือลดการระคายเคืองในบางคนและการสะสมสารเคมี ไว้ที่ผิวกายทุกวันๆและปัจจุบัน คนส่วนมากมักจะเลือกสบู่ที่สามารถทำความสะอาดได้มากๆ ซึ่งเหล่านี้มักจะเป็นสบู่เคมี จนไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดกับผิวในภายหลัง ปัจจุบันสบู่มีมากมายหลายชนิดให้เราเลือกใช้ ตามความเหมาะสมและความชอบของแต่ละบุคคล แต่เรารู้จักสบู่เหล่านั้นดีเพียงไร และจะมีสักกี่คนที่ใส่ใจในรายละเอียดว่าสบู่แต่ละก้อนมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้างสบู่ที่ดีจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อผิว ซึ่งนอกจากจะทำให้สบู่ที่ได้ทำความสะอาดผิวได้ดีแล้ว ยังสามารถบำรุงผิวได้อีกด้วย ทั้งนี้สบู่เป็นสิ่งที่เราต้องใช้เป็นประจำทุกวัน หากเราคัดสรรสบู่ที่ดีมีคุณภาพ จะทำให้เรามีสุขภาพผิวของที่ดีอยู่คู่กับเราไปตลอดนานเท่านาน
น้ำหอม
น้ำหอมคือสารละลายหอมระเหยทำจากน้ำมันกับแอลกอฮอร์มีกลิ่นที่สกัดมาจากดอกไม้ในธรรมชาติหรือกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นมาผสมอยู่ ใช้ท่าหรือพ่นตามเสื้อผ้าหรือร่างกาย น้ำหอมจะระเหยออกมาพร้อมกับส่งกลิ่นหอมชวนดมออกมาด้วย มีหลายกลิ่น บางกลิ่นเกิดจากการนำกลิ่นดอกไม้หลายชนิดมาผสมกัน มีผลิตบรรจุขวดขายหลายยี่ห่ออาทิเช่น  CK,DKNY,LACOSTE,Ralph Laurenฯลฯส่วนน้ำหอมปรับอากาศในรถยนต์อาทิเช่นBALDIAY
น้ำหอมคือส่วนผสมที่ปรุงให้เข้ากันอย่างดีจากธรรมชาติและสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นตามความคิดสร้างสรรค์การสื่อความหมาย และชนิดของวัตถุดิบนำมาปรุงโดยนักปรุงน้ำหอม(Perfumer) ไม่มีกฎเกณฑ์ทีแน่นอนในสัดส่วนของการการปรุงบางทีอาจมีส่วนผสมเพียง 1- 2 ชนิด หรืออาจจะมีมากเป็นร้อยชนิดก็ได้น้ำหอมแต่ละชนิดถูกปรุงมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน เช่นน้ำหอมสำหรับบุรุษ หรือสตรีและยังมีการจำเพาะเจาะจงลงไปในรายละเอียดอีกด้วย เป็นต้นว่าน้ำหอมสำหรับสตรีผู้มีความอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันเข้มแข็ง
ประเภทของน้ำหอม
แบ่งน้ำหอมออกเป็น 3 ชนิดหลักๆตามระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอม
·       Eau de Parfum คือน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในสัดส่วนที่ 15-18%
·       Eau de Toilette คือน้ำหอม ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในสัดส่วน4-8%
·       Eau de Cologne คือน้ำหอม ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมในสัดส่วนที่3-5%
วิธีการเก็บรักษา
1)      เก็บรักษาที่อุณหภูมิประมาณ27องศาเซลเซียส(อุณหภูมิห้อง)
2)      ห้ามโดนอุณหภูมิเกิน30องศาเซลเซียสแม้จะเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 1 บทนำ

บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน